เมนู

3. กังขาเรวตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกังขาเรวตเถระ


[140] ได้ยินว่า ท่านพระกังขาเรวตเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้
อย่างนี้ว่า
ท่านจงดูปัญญานี้ ของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย
ดังไฟอันรุ่งเรืองในเวลาพลบค่ำ พระตถาคต เหล่าใด
ย่อมกำจัดความสงสัย ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ผู้มา
เฝ้าถึงสำนักของพระองค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อม
ชื่อว่า เป็นผู้ให้แสงสว่าง เป็นผู้ให้ดวงตา.

อรรถกถากังขาเรวตเถรคาถา


คาถาของท่านพระกังขาเรวตะ เริ่มต้นว่า ปญฺญํ อิมํ ปสฺส.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ แม้
พระเถระนี้ ก็เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงหงสาวดี วันหนึ่งในเวลา
แสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เขาไปวิหารพร้อมกับมหาชน
โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดาทรงตั้ง
ภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ยินดีในฌานคิดว่าในอนาคต
แม้เราก็ควรเป็นเช่นกับภิกษุรูปนี้ ดังนี้ ในเวลาจบเทศนา นิมนต์พระศาสดา

กระทำมหาสักการะ โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยการการทำอธิการนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนา
สมบัติอย่างอื่น ก็นับแต่นี้ไปในวันสุดท้ายของวันที่ 7 พระองค์ตั้งภิกษุรูปนั้น
ไว้ในตำแหน่งของภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เพ่งฌาน ฉันใด ในอนาคตกาล
แม้ข้าพระองค์ ก็พึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เพ่งฌาน ในศาสนาของพระ-
พุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ดังนี้แล้ว ตั้งความปรารถนาไว้.
พระบรมศาสดา ทรงตรวจดูอนาคตกาลแล้ว ทรงเห็นความสำเร็จ
จึงทรงพยากรณ์ว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคตมะ จักเสด็จอุบัติในที่สุด
แห่งแสนกัปในอนาคตกาล ดังนี้ แล้วเสด็จหลีกไป.
เขากระทำแต่กรรมดี จนตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย ตลอดเวลาแสนกัป บังเกิดในตระกูลที่มีสมบัติมาก ณ กรุงสาวัตถี
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ไปสู่วิหารพร้อมด้วยมหาชน
ผู้เดินไปเพื่อฟังธรรม ภายหลังภัตร ยืนอยู่ท้ายบริษัท ฟังธรรมกถาของ
พระทศพลแล้ว ได้เฉพาะซึ่งศรัทธา บวชแล้ว ได้อุปสมบทแล้ว ให้อาจารย์
บอกกัมมัฏฐาน กระทำบริกรรมฌาน เป็นผู้ได้ฌาน กระทำฌานให้เป็นบาท
แล้วบรรลุพระอรหัต.
โดยมากท่านจะเข้าสมาบัติ ที่พระทศพลทรงเข้า ได้เป็นผู้มีชำนาญ
ที่สั่งสมแล้ว ในฌานทั้งหลาย ทั้งกลางวันและกลางคืน.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุ
ผู้เพ่งฌานทั้งหลาย โดยพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกังขา-
เรวตะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เพ่งฌาน ดังนี้. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

ในกัปที่แสน นับแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมาร
ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง
ทรงเป็นนายก มีพระหนุเหมือนราชสีห์ มีพระสุรเสียง
เหมือนพรหม มีสำเนียงคล้ายหงส์และกลองใหญ่
เสด็จดำเนินเยื้องกรายดุจช้าง มีพระรัศมีประหนึ่งรัศมี
ของจันทเทพบุตรเป็นต้น มีพระปรีชามาก มีความเพียร
มาก มีความเพ่งพินิจมาก มีพละมาก ประกอบด้วย
พระมหากรุณา เป็นที่พึ่งของสัตว์ กำจัดความมืดใหญ่
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว คราวหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า ผู้เลิศกว่าไตรโลก เป็นมุนี ทรงรู้วารจิตของสัตว์
พระองค์นั้นทรงแนะนำเวไนยสัตว์เป็นอันมาก ทรง-
แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ พระพิชิตมารตรัสสรรเสริญ
ภิกษุผู้เพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌาน มีความเพียรสงบ
ระงับไม่ขุ่นมัวในท่ามกลางบริษัท ทรงทำให้ประชาชน
ยินดี ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์เรียนจบไตรเพท อยู่ใน
พระนครหงสาวดี ได้สดับพระธรรมเทศนาก็ชอบใจ
จึงปรารถนาฐานันดรนั้น ทีนั้นพระพิชิตมาร ผู้เป็น
สังฆปริณายกยอดเยี่ยม ได้ตรัสพยากรณ์ในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า จงดีใจเถิดพราหมณ์ ท่านจักได้ฐานันดรนี้
สมดังมโนรถปรารถนา ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระ-
ศาสดา พระนามว่าโคตมะ ผู้สมภพในวงศ์ของ
พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านจักได้
เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นพระ-

โอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระศาสดา มี
ชื่อว่า " เรวตะ " เพราะกรรมที่ทำไว้ดี และเพราะการ
ตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปยัง
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเกิดใน
ตระกูลกษัตริย์ อันมั่งคั่งสมบูรณ์ มีทรัพย์มากมายใน
โกลิยนครในคราวที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม
เทศนาในพระนครกบิลพัสดุ์ เราเลื่อมใสในพระสุคต-
เจ้า จึงออกบวชเป็นบรรพชิต ความสงสัยของเราใน
สิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะนั้น ๆ มีมากมาย พระ-
พุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันอุดม แนะนำข้อสงสัย
ทั้งปวงนั้น ต่อแต่นั้น เราก็ข้ามพ้นสงสารได้ เป็นผู้
ยินดีความสุขในฌานอยู่ ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้า
ทอดพระเนตรเห็นเรา จึงได้ตรัสพุทธภาษิตนั่นว่า
ความสงสัยในโลกนี้ หรือโลกอื่น ในความรู้
ของตน หรือในความรู้ของผู้อื่น อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
อันบุคคลผู้มีปกติเพ่งพินิจ มีความเพียรเผากิเลส
ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมละได้ทั้งสิ้น.
กรรมที่ทำไว้ในกัปที่แสน ได้แสดงผลแก่เรา
ในอัตภาพนี้ เราพ้นกิเลสแล้วเหมือนลูกศรที่พ้นจาก
แล่ง ได้เผากิเลสของเราเสียแล้ว ลำดับนั้น พระมุนีผู้
มีปรีชาใหญ่ เสด็จถึงที่สุดของโลก ทรงเห็นว่าเรายิน
ดีในฌาน จึงทรงแต่งตั้งว่า เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายที่ได้ฌาน เราเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ถอนภพ

ขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกพัน ดังช้างตัด
เชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาใน
สำนักของพระพุทธเจ้า ของเรานี้ เป็นการมาดีแล้ว-
หนอ วิชชา 3 เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว คุณพิเศษเหล่า
นี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6
เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา
กระทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระมหาเถระนี้ ผู้กระทำกิจเสร็จแล้วอย่างนั้น พิจารณาดู ข้อที่
ตนมีความคิดสงสัยอยู่เป็นปกติ และข้อที่ตนปราศจากความสงสัยได้โดยประการ
ทั้งปวง ในบัดนี้ บังเกิดความพอใจเป็นอันมากว่า อานุภาพของพระศาสดา
ของเรา น่าชื่นใจนัก ด้วยอานุภาพของพระองค์นั้น ทำให้เราปราศจากความ
สงสัย มีจิตสงบระงับแล้วในภายใน อย่างนี้ ดังนี้ เมื่อจะสรรเสริญปัญญา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ท่านจงดูปัญญานี้ ของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย
ดังไฟอันรุ่งเรือง ในเวลาพลบค่ำ พระตถาคตเหล่าใด
ย่อมกำจัดความสงสัย ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ผู้มา
เฝ้าถึงสำนักของพระองค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อม
ชื่อว่าเป็นผู้ให้แสงสว่าง เป็นผู้ให้ดวงตา ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺญํ ความว่า ธรรมชาติชื่อว่า ปัญญา
เพราะอรรถว่า รู้ซึ่งประการทั้งหลาย และเพราะยังคนอื่นให้รู้ โดยประการ
ทั้งหลาย. อธิบายว่า รู้ประการมี อาสยะ อนุสัย จริยา และอธิมุตติ ของ
เวไนยสัตว์ทั้งหลาย และรู้ประการอันจะพึงแสดง ในบรรดาธรรมทั้งหลายมีกุศล

เป็นต้น และขันธ์เป็นต้น คือแทงตลอดตามความเป็นจริง และยังผู้อื่นให้รู้
โดยประการนั้น.
ก็ในคาถานี้ ท่านประสงค์เอาญาณ คือ พระธรรมเทศนาของพระ-
ศาสดา ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อิมํ ดังนี้. อธิบายว่า เทศนาญาณนั้น
ท่านกล่าวว่า อิมํ โดยถือเอาปัญญาที่ปรากฏแล้ว ดุจเห็นได้เฉพาะหน้า
โดยการถือเอาซึ่งนัย ด้วยกำลังแห่งเทศนาอันสำเร็จแล้วในตน. อีกอย่างหนึ่ง
เทศนาญาณของพระศาสดา อันสาวกทั้งหลาย ย่อมถือเอาโดยนัย ด้วยมรรค
ผลอันเลิศใด แม้ปฏิเวธญาณ ในวิสัยของตน อันพระสาวกทั้งหลายก็ถือเอา
ได้โดยนัย ด้วยมรรคผลอันเลิศนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านพระธรรม
เสนาบดีจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้สภาพที่คล้อยตามธรรม อัน
ข้าพระองค์รู้แจ้งแล้ว ดังนี้.
บทว่า ปสฺส ความว่า ผู้ที่หมดความสงสัยแล้วย่อมเรียกร้องกัน
โดยคำที่ไม่กำหนดแน่นอน อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ จิตของตนนั่นเอง. เหมือน
อย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะเปล่งอุทาน ก็ตรัสว่า ท่านจงดูโลกนี้ สัตว์
ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำ หรือยินดีแล้วในขันธบัญจกที่
เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพ ดังนี้.
บทว่า ตถาคตานํ ความว่า ชื่อว่า ตถาคต ด้วยอรรถว่าเสด็จมา
แล้วอย่างนั้นเป็นต้น. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต
ด้วยเหตุ 8 ประการเหล่านี้ คือ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วอย่าง
นั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเสด็จมาสู่ลักษณะที่แท้จริง 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมที่แท้
จริงตามความเป็นจริง 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะความเป็นผู้มีปกติเห็นอย่างนั้น 1
ชื่อว่า ตถาคต เพราะความเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต

เพราะความเป็นผู้มีปกติกระทำอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถว่า
ครอบงำ 1.
ในอธิการนี้ มีความสังเขปดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า
ตถาคต ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้อย่างนี้คือ ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จ
มาแล้ว โดยอาการอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้ว โดย
อาการอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปแล้วสู่ลักษณะอย่างนั้น 1
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วสู่ความเป็นอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเป็นอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเป็นไปแล้วอย่างนั้น 1
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้ว โดยอาการอย่างนั้น 1 ชื่อว่า ตถาคต
เพราะความเป็นผู้เสด็จไปแล้ว โดยอาการอย่างนั้น 1 ส่วนความพิสดาร พึง
ทราบ โดยนัยดังกล่าวแล้ว ในอรรถกถาอุทาน และในอรรถกถาอิติวุตตกะ
ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงคุณพิเศษอันไม่ทั่วไป แห่งพระปัญญานั้น ท่าน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อคฺคิ ยถา ดังนี้. บทว่า ยถา อคฺคิ เป็นคำอุปมา.
บทว่า ยถา เป็นคำแสดง ถึงบทว่า อคฺคิ นั้นเป็นอุมา. บทว่า ปชฺชลิโต
แสดงถึงข้อความที่เนื่องกัน โดยอุปไมย. บทว่า นิสีเถ เป็นคำแสดงถึงเวลา
ที่ทำกิจ. ก็ในบทว่า นิสีเถ นี้ มีอธิบายดังนี้. เมื่อความมืดอันประกอบ
ด้วยองค์ 4 ในยามพลบค่ำ คือ ยามราตรีย่างมาถึง ไฟที่ลุกโพลงแล้วในที่
ดอน ย่อมกำจัดความมืดตั้งอยู่ในประเทศนั้น ฉันใด ท่านจงดู พระปัญญา
ที่กำจัดความมืด คือ ความสงสัย ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง
กล่าวคือ เทศนาญาณนี้ ของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ฉะนี้แล. พระปัญญา ชื่อว่า ให้แสงสว่าง เพราะเป็นเหตุให้ซึ่งแสงสว่าง
อันสำเร็จด้วยญาณแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยลีลาแห่งพระธรรมเทศนา. ชื่อว่า

ผู้ให้ดวงตา เพราะให้ซึ่งจักษุอันสำเร็จด้วยปัญญา นั่นเอง. พระเถระเมื่อจะ
แสดงถึงปัญญาแม้ทั้ง 2 ทำให้เป็นปทัฏฐานของการกำจัดความสงสัยเสียได้
เหมือนกัน จึงกล่าวว่า เย อาคตานํ วินยนฺติ กงฺขํ ดังนี้.
พระตถาคตเจ้าเหล่าใด ย่อมกำจัด คือขจัด บำบัดเสียซึ่งกังขา คือ
ความสงสัย อันมีวัตถุ 16 อันเป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ในอดีตอันยาวนาน
เราได้เคยมีมาแล้วหรือหนอ และมีวัตถุ 8 ประการ อันเป็นไปแล้วโดยนัย
มีอาทิว่า ย่อมสงสัยในพระพุทธ ย่อมสงสัยในพระธรรม ดังนี้ แก่เหล่าเวไนย-
สัตว์ ผู้เข้าถึง คือ เข้าไปยังสำนักของพระองค์ โดยไม่มีส่วนเหลือด้วยอานุภาพ
แห่งเทศนา.
อีกนัยหนึ่ง ไฟที่รุ่งเรือง คือ มีแสงสว่างจ้า ลุกโชติช่วง ในยาม
พลบค่ำ คือ ยามราตรี ย่อมกำจัดความมืด ให้แสงสว่าง มองเห็น ที่เสมอ
และไม่เสมอได้ชัดเจน แก่ผู้ที่อยู่บนที่สูง แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในที่ต่ำ เมื่อกระทำ
แสงสว่างนั้นให้ปรากฏดีแล้ว ชื่อว่า ย่อมให้ซึ่งดวงตา เพราะกระทำกิจ คือ
การเห็น ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อทรงกำจัด
ความมืดคือโมหะ แก่ผู้ที่ตั้งอยู่ในที่ไกลจากธรรมกายของพระองค์ คือผู้ที่มี
อธิการยังไม่ได้กระทำไว้ ด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา แล้วทรงยังความเสมอ
และไม่เสมอ มีความเสมอทางกาย และความไม่เสมอทางกายเป็นต้น ให้แจ่ม
แจ้ง ชื่อว่า ย่อมให้แสงสว่าง. แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในที่ใกล้ เมื่อมอบธรรมจักษุ
ให้แก่ผู้ที่มีอธิการอันกระทำแล้ว ชื่อว่า ย่อมให้ซึ่งดวงตา.
ประกอบความว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่าใดผู้เป็นอย่างนี้ ย่อม
กำจัดความสงสัย ของผู้มากไปด้วยความสงสัย แม้เช่นเรา ผู้มาฟังพระโอวาท
ของพระองค์ คือ ขจัดเสียได้ ด้วยการยังพระอริยมรรคให้เกิดขึ้น ท่านจงดู
พระปัญญา ที่มีพระญาณอันดียิ่งของพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น. แม้คาถานี้ก็จัด

เป็นคาถาพยากรณ์อรหัตผล ของพระเถระ โดยประกาศถึงการก้าวล่วงความ
สงสัยของตน.
ก็พระเถระนี้ ในเวลาที่เป็นปุถุชน เป็นผู้มีความรังเกียจแม้ในของที่
เป็นกัปปิยะ จึงปรากฏนามว่า " กังขาเรวตะ" เพราะความเป็นผู้มากไปด้วย
ความสงสัย. ภายหลังแม้ในเวลาที่เป็นพระขีณาสพ คนทั้งหลายก็เรียกท่านอย่าง
นั้นเหมือนกัน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า ได้ยินว่า
ท่านพระกังขาเรวตเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้. คำนั้น มีเนื้อความดัง
ข้าพเจ้ากล่าวแล้วแล.
จบอรรถกถากังขาเรวตเถรคาถา

4. ปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ


[141] ได้ยินว่า พระปุณณมันตานีบุตรเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้
อย่างนี้ว่า
บุคคลควรสมาคมกับสัตบุรุษ ผู้เป็นบัณฑิต
ชี้แจงประโยชน์เท่านั้น เพราะธีรชนทั้งหลายเป็นผู้ไม่-
ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมได้บรรลุถึง
ประโยชน์อย่างใหญ่ ประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
ละเอียด สุขุม
.